เรื่องเล่าตระกูล ณ สงขลา สาย ณ ถลาง (ตอนที่ 1.2)

ตอนที่ 1.2 บรรพบุรุษของพระปลัดเมืองสงขลา

เนื่องจากพระปลัดเมืองสงขลาไม่ได้มีพื้นเพเป็นคนสงขลา จึงอาจไม่มีใครรู้จักวงศาคณาญาติของท่านเลย มันจึงเหมือนมีเมฆหมอกมืดมัวมาบดบังตัวท่าน ทำให้รู้สึกคลุมเครือในความเป็นตัวตนของท่าน ดังนั้นเพื่อความกระจ่างชัด ผู้เขียนจึงใคร่ขอเปิดเผยถึงวงศ์วานว่านเครือของท่านหรือบรรพบุรุษที่สืบสายโลหิตต่อกันมานับได้ถึง 5 ลำดับชั้น ดังนี้

1) เจ้าพระยาสุรินทราชา(จันท์) เป็นบิดาของพระยาถลาง(ฤกษ์) และพระปลัดเมืองสงขลา เกิดที่กรุงศรีอยุธยา และเข้ารับราชการในช่วงปลายของกรุงศรีอยุธยา เป็นมหาดเล็กเป็นที่หลวงนายฤทธิ์นายเวร ภรรยาเป็นหลานของหลวงนายสิทธินายเวร (หลวงนายฤทธิ์และหลวงนายสิทธิ์เป็นบรรดาศักดิ์ ส่วนนายเวรเป็นตำแหน่ง) หลวงนายสิทธิ์เป็นบุตรเขยของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เดิมชื่อพัฒน์ เมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้แตก หลวงนายฤทธิ์และหลวงนายสิทธิ์ได้กลับไปเมืองนครศรีธรรมราชโดยหลวงนายสิทธิ์ประกาศตั้งตนเองเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช และเห็นว่าหลวงนายฤทธิ์มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องขนบธรรมเนียมและราชประเพณีเป็นอย่างดี หลังเสียกรุงจึงแต่งตั้งให้เป็นพระอุปราชเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาพระเจ้ากรุงธนบุรี ตีได้เมืองนครศรีธรรมราช จึงได้นำตัวเจ้าพระยานครและพระอุปราชไปยังกรุงธนบุรี แต่ไม่ได้ลงโทษ กลับให้รับราชการ โดยแต่งตั้งให้พระอุปราชเป็นพระยาอินทรอัคราช พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้รับแต่งตั้งเป็นพระยาสุรินทราชา และในพ.ศ. 2329 ได้โปรดเกล้าให้ออกไปเป็นข้าหลวงผู้สำเร็จราชการหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตก 8 หัวเมืองคือ ถลาง ภูเก็ต พังงา ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง คุระ คุรอด และเกาะรา โดยตั้งกองบัญชาการที่เมืองถลาง และท่านได้ย้ายครอบครัวลงไปด้วย ต่อมาท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยาสุรินทราชา ผู้มีอำนาจเต็ม
ในสมัยนั้นหัวเมืองทั้ง 8 มีลักษณะเป็นเมืองชายขอบ ที่ค่อนข้างมีอิสระในการปกครองตนเอง เจ้าพระยาสุรินทราชาได้เข้าไปจัดระบบการปกครองใหม่ โดยดึงอำนาจจากหัวเมืองทั้ง 8 เข้าสู่ส่วนกลางที่ราชธานี จนทำให้หัวเมืองเหล่านั้นกลายเป็นหัวเมืองที่ขึ้นกับราชธานีในตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์อย่างแท้จริง มีการจัดเก็บภาษีแร่ดีบุกซึ่งมีอยู่มากมายทุกหัวเมือง ได้เงินเข้าสู่ท้องพระคลังอย่างมหาศาล มีการตัดถนนเพื่อให้มีความสะดวกในการคมนาคม การส่งภาษีและทรัพย์สินเข้าสู่ส่วนกลาง เมื่อ พ.ศ. 2337 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้โปรดเกล้าให้เจ้าพระยาสุรินทราชาเข้ากรุงเทพเพื่อแต่งตั้งให้เป็นที่พระสมุหพระกลาโหม แต่ท่านกราบทูลขอตัวว่าชราแล้ว ต้องการทำงานที่เดิมเพื่อทำภารกิจที่คั่งค้างคือการตัดถนนให้สำเร็จ จะได้ขนย้ายพระราชทรัพย์เข้าสู่ส่วนกลางได้สะดวก เจ้าพระยาสุรินทราชาถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ.2350 รวมเวลาที่ท่านว่าราชการที่หัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก 21 ปี เจ้าพระยาสุรินทราชา มีบุตรหลายคน แต่จะกล่าวถึงบางคนที่เป็นเจ้าเมืองปกครองในภาคใต้ ได้แก่
- จุ้ย เป็นพระยาอภัยบริรักษ์ ( พระยาพัทลุง)
- ฤกษ์ เป็นพระยาณรงค์เรืองฤทธิ์ประสิทธิสงคราม (พระยาถลาง)
- อิน เป็นบิดาของพระยาวรวุฒิไวย(น้อย) ซึ่งเป็นพระยาพัทลุงด้วย และเป็นบิดาของคุณหญิงเพชราภิบาลนฤเบศร์ ซึ่งเป็นภริยาพระยาหนองจิก (พ่วง ณ สงขลา)

ต่อมาพระยาอภัยบริรักษ์(เนตร) บุตรพระยาวรวุฒิไวย(น้อย) ได้รับพระราชทานนามสกุล "จันทโรจน์วงศ์" สำหรับผู้สืบสายโลหิตโดยตรงจากเจ้าพระยาสุรินทราชา(จันท์) ดังนั้นพระยาถลางและปลัดเมืองสงขลาก็มีสิทธิ์ใช้นามสกุลนี้ และยังมีผู้ได้รับพระราชทานนามสกุล ณ ถลาง สายพระยาถลาง(ฤกษ์) ด้วย ดังนั้นพระยาถลาง(ฤกษ์)และพระปลัดเมืองสงขลาจึงมีสิทธิ์ใช้ทั้ง 2 นามสกุล ซึ่งขึ้นอยู่กับลูกหลานว่าจะให้ใช้นามสกุลใด เพราะท่านไม่สามารถลุกขึ้นมาโต้แย้งได้

______________
จบตอนที่ 1.2 ข้อ 1) เจ้าพระยาสุรินทราชา ตอนต่อไปจะกล่าวถึงบรรพบุรุษคนที่ 2) ถึง 5)
บรรพบุรุษคนที่ 2 เป็นบิดาของเจ้าพระยาสุรินทราชาและเป็นเจ้าพระยาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดมาก โดยที่เมื่อทำผิดก็ไม่ถูกลงโทษ เชิญติดตามตอนต่อไปค่ะ

เครดิต: ผศ. มยุรี เลื่อนราม

เรื่องเล่าตระกูล ณ สงขลา สาย ณ ถลาง (ตอนที่ 1.1)

สวัสดีค่ะ ขอแนะนำตัวอีกครั้งค่ะ ดิฉัน ผศ. มยุรี เลื่อนราม บุตรคุณแม่ วิจิตรา ณสงขลา และคุณพ่อเจริญ โชติพันธุ์ ก่อนแต่งงานใช้นามสกุลัโชติพันธ์ุ หลัง แต่งงานใช้นามสกุลเลื่อนราม แต่ไม่ว่าจะใช้นามสกุลใดก็ตาม สายเลือด ณ สงขลา ของคุณแม่ในตัวดิฉัน่ก็ยังเข้มข้นอยู่เสมอค่ะ
________________________

จะขอเล่าเรื่องตระกูล ณ สงขลา สาย ณ ถลาง โดยจะแบ่งเป็น 2 ตอน คือ

ตอนที่ 1 จะกล่าวถึง ชีวิตการทำงานครอบครัว และบรรพบุรุษของท่านผู้เป็นต้นตระกูล
ตอนที่ 2 จะกล่าวถึงผู้เป็นเชื้อสายของตระกูล ณ สงขลา สาย ณ ถลาง
________________________

ตอนที่ 1.1 ชีวิต การทำงานและครอบครัว ของท่านผู้เป็นต้นตระกูล
""""""""""""""""""""
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่พระยาวิเชียรคีรี(เถี้ยนเส้ง) เจ้าเมืองสงขลาลำดับที่ 4 (2361-2390) ได้ย้ายเมืองสงขลาจากฝั่งทะเลสาบแหลมสนมาตั้งเมืองใหม่ที่ฝั่งทะเลสาบบ่อยางซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน ท่านก็ได้เริ่มพัฒนาเมือง ให้เป็นเมืองใหญ่ที่มั่นคงและสำคัญ และได้ตั้งจุดมุ่งหมายในการพัฒนาเมืองไว้หลายด้าน ซึ่งด้านหนึ่งก็คือการเสาะแสวงหาผู้รอบรู้่ทางราชนิติ ประเพณี กฎหมายของบ้านเมือง และเพื่อเป็นหลักที่ปรึกษาประจำเมือง พระยาวิเชียรคีรีจึงได้น้องชายของพระยาถลาง(ฤกษ์)มาทำงานสำคัญดังกล่าว เมื่อประมาณ พ.ศ. 2380 เป็นต้นมา

น้องชายพระยาถลาง(ฤกษ์) ได้ตำแหน่งเป็นเป็นกรมการเมืองฝ่ายกฎหมาย และเป็นที่ปรึกษาฝ่ายราชนิติประเพณี ท่านทำงานด้วยความรู้ความสามารถ จนได้รับความไว้วางใจ แต่งตั้งให้เป็น พระปลัดเมืองสงขลา และท่านยังเป็นหนี่งในคณะกรรมการวางเสาหลักเมืองในสมัยพระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง) เมื่อปี พ.ศ. 2385

ต่อมาพระปลัดเมืองสงขลา ได้สมรสกับธิดาคนหนึ่งของพระยาวิเชียรคีรี(เถี้ยนเส้ง) (ข้อมูลจากคุณอังสุมาลี โรจนะหัสดินที่ได้ฟังจากญาติผู้ใหญ่และบันทึกไว้) และมีบุตรด้วยกันเท่าที่จำได้คือ หลวงเทพอาญา

นี่เป็นการเริ่มต้นของต้นตระกูล ณ สงขลา สาย ณ ถลาง ท่านผู้เป็นต้นตระกูลของ ณ สงขลา สายนี้ ลูกหลานรุ่นหลังไม่ทราบชื่อของท่าน เพราะคนมักจะเรียกท่านด้วยความเคารพว่า " ท่านหลัด" ซึ่งหมายถึงท่านปลัด โดยไม่เรียกชื่อ จึงทำให้จำชื่อท่านไม่ได้


จบตอนที่1.1 ครั้งต่อไปจะพูดถึงข้อ1.2 บรรพบุรุษของพระปลัดเมืองสงขลา จากการค้นคว้าพบว่าสามารถลำดับชั้นของสายสกุลขึ้นไปจากท่านได้ถึง 5 ลำดับชั้น ขอเชิญท่านติดตามค่ะ.

เครดิต: ผศ. มยุรี เลื่อนราม

เรื่องเล่าจากบ้านคุณสุเทพ ณ สงขลา

#เล่าเรื่องจากบ้าน คุณสุเทพ ณ สงขลา ตอนที่ 1 - วัยเรียน

วันนี้ กทม. ฝนตกทั้งวัน เรามาฟังเรื่องเล่าจากบ้าน ณ สงขลากันดีกว่าครับ เรื่องเล่าวันนี้มาไกล คือมาจากจังหวัดพังงา เป็นเรื่องเล่าที่คุณลุงสุเทพ ณ สงขลา บุตรพระยาอภิรักษ์ราชอุทยาน (ฑิต ณ สงขลา) กับคุณหญิงลิ้ม ณ สงขลา ได้เล่าให้ผมฟังในสมัยที่คุณลุงสุเทพยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งในขณะนั้นผมเป็นประธานรวมญาติ ณ สงขลา ก่อนที่จะมาเป็นประธานชมรมสายสกุล ณ สงขลา และได้ออกหนังสือเวียนเพื่อรายงานความเคลื่อนไหวของตระกูลให้ญาติ ๆ ทราบ เมื่อคุณลุงสุเทพได้รับจดหมายเวียน 1-2 ฉบับ คุณลุงก็เริ่มเขียนจดหมายถึงผม ฉบับแรกเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2551 คุณลุงบอกว่า คุณลุงอายุ 93 ปีแล้ว และขอบคุณที่ส่งจดหมายเวียนไปให้ รวมทั้งได้ให้กำลังใจและอวยพรให้ผมประสบความสําเร็จในการทำหน้าที่ประธานรวมญาติ ณ สงขลา นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้จักคุณลุงสุเทพ หลังจากนั้นเราก็ได้ติดต่อพูดคุยกันเรื่อยมา อีกทั้งเมื่อผมได้มาทำกิจกรรมของตระกูลร่วมกับลูก ๆ หลาน ๆ ของคุณลุงอีกหลายครั้ง จนทำให้พวกเรามีความสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น คุณลุงสุเทพถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2556ในการเล่าวันนี้ ผมได้ปรึกษาคุณทิพวรรณ (ณ สงขลา) เจียระกิจ บุตรสาวคนโตของคุณลุง ซึ่งคุณทิพวรรณได้กรุณาให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์อย่างมาก ผมขอขอบพระคุณคุณทิพวรรณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ด้วย และผมจะพยายามคงถ้อยคำสำนวนของคุณลุงไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อาจจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมบ้างในบางตอนเพื่อความเหมาะสม

เรื่องเล่าจากบ้านคุณมัณฑนา (ณ สงขลา) เชิดวิศวพันธ์

วันนี้มีเรื่องเล่าจากบ้านคุณมัณฑนา (ณ สงขลา) เชิดวิศวพันธ์ อายุ 88 ปี และบ้านคุณจุมพล ณ สงขลา อายุ 84 ปี อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มาเล่าให้ญาติๆ ฟัง แต่ก่อนที่ท่านทั้งสองจะเล่าให้ผมฟัง ท่านได้ขอออกตัวก่อนว่า ในการเล่าบางเหตุการณ์อาจจะมีความทรงจำที่ลางเลือนไปบ้าง ก็ขอให้ลูกหลานหลวงอุดมภักดี (ทับ) หรือญาติ ณ สงขลาท่านอื่นๆ ได้กรุณาแสดงความคิดเห็นหรือแก้ไขให้ถูกต้องด้วย จะขอบคุณมาก

คุณมัณฑนาและคุณจุมพลเป็นบุตรของ คุณเอื้อ (นามเดิม “เอื้อน”) กับคุณชิต ณ สงขลา เป็นหลานของหลวงอุดมภักดี (ทับ) และเป็นเหลนของพระยาวิเชียรคีรี (ชุ่ม) เจ้าเมืองสงขลาลำดับที่ 7 ในตระกูล ณ สงขลา คุณมัณฑนาและคุณจุมพลได้เล่าให้ฟังว่า คุณปู่เป็นบุตรคนที่ 9 ของพระยาวิเชียรคีรี (ชุ่ม) กับนางเทศ ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น “หลวงอุดมภักดี” ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา ถือศักดินา 1,000 ไร่ ช่วยราชการพระยาวิเชียรคีรีศรีสมุทวิสุทธิ์ศักดามหาพิไชยสงคราม รามภักดีอภัยพิริยบรากรมพาหุ ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา นอกจากนี้ คุณปู่ยังได้ประกอบธุรกิจส่วนตัวอีกด้วย เช่น ธุรกิจโรงเลื่อย โรงน้ำแข็ง โรงสี รับสัมปทานรังนก ธุรกิจเดินเรือรับส่งผู้โดยสารและสินค้าระหว่างจังหวัดสงขลากับกรุงเทพฯ ค้าขายสินค้าทั่วไป เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2455 ได้มีเหตุการณ์อันไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อคุณปู่ซึ่งมีอายุประมาณ 45 ปีในขณะนั้น ได้ไปตรวจกิจการโรงเลื่อย และไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จึงทำให้ชายผ้าโจงกระเบนของคุณปู่เข้าไปติดกับใบเลื่อยซึ่งกำลังทำงานอยู่ แล้วดึงร่างคุณปู่เข้าไปสู่ใบเลื่อย จนทำให้ถึงกับเสียชีวิต ในขณะที่คุณพ่ออายุได้ 9 ขวบ

เรื่องเล่าจากพี่จิง

สวัสดีค่ะ ชื่อจิงนะคะ ขอเล่าเรื่องจากบ้านอีกคนนะคะ พอดีเห็นพี่แป๊ะ(ไชยพร)เล่ามา ก็เลยขอต่อนิดนึง ที่เรียกพี่แป๊ะเพราะเรียกมาตั้งแต่เด็กๆ จนเรียกติดปากมาจนทุกวันนี้ ตั้งแต่เด็กๆ เคยสงสัยว่าทำไมบ้านที่เราอยู่(คือบ้านปู่หนูที่รือเสาะ) ซึ่งณ ตอนนั้นขายพวกอะไหล่รถต่างๆ จึงมีชื่อร้านว่า"เถี้ยนเส้ง"เสียดายที่ตอนนั้นไม่มีโทรศัพท์เหมือนสมัยนี้ เลยไม่ได้บันทึกรูปไว้จนตอนนี้จึงมาเข้าใจว่าทำไมจึงตั้งชื่อร้านว่า"เถี้ยนเส้ง"คาดเดาว่าปู่น่าจะเอาชื่อบรรพบุรุษมาตั้งเพื่อที่ลูกหลานจะได้จำ ชื่อนี้และคงรู้ที่มาของชื่อนี้ได้ในกาลข้างหน้า


อีกเรื่องที่อยากจะเล่า คืออยู่ๆที่บ้านจะมีการจัดงานแต่งงานขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่มากๆสำหรับในอำเภอรือเสาะ จำได้ว่ามีการเตรียมงานอย่างใหญ่โต เจ้าบ่าวในวันนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่แป๊ะ(ไชยพร)กับพี่นิด(เสาวณีย์) ตำนานร้าน"เถี้ยนเส้ง"ก็คือสถานที่จัดงานมงคลสมรสของพี่แป๊ะกับพี่นิด ซึ่งเป็นความทรงจำที่ดีมากๆ ภาพถ่ายไม่แน่ใจว่าพี่แป๊ะยังมีอยู่รึป่าว 

เครดิต: จิง น้องพี่แป๊ะ

เรื่องเล่าจากอาแป๊ะ (ภาค 1)

ผม แป๊ะ ไชยพร ณ สงขลา บุตรชายคนเดียวของ กำนันชิต ณ สงขลา คุณปู่ชื่อ บี้ หรือรู้จักกันตามที่พ่อเล่า ว่า บี้ มหาดเล็ก หนึ่งในบุตรของท่านชุ่ม เจ้าเมืองคนที่ 7 มี บุตรสามคน ชื่อ ชิตะภัทร ชิตะภูมิ และ พรชิตา บ้านเดิมของพ่ออยู่ที่ อำเภอระโนด หมู่บ้านเดียวกับน้าเชื้อ ปู่ของ เอก จิ๊บ แล้วพ่อก็ย้าย จากระโนด ไปอยู่ รือเสาะ พร้อมกับ ย่าเนียม(ภรรยาอีกคนของปู่) และ น้องๆอีกสามคน คือน้าสุนีย์ น้าสุทิน น้าสุรินทร์ โดยไปอยู่กับ ลุงหนู พี่ชายต่างมารดาของพ่อ ลุงหนู ณ สงขลา ก็คือ คุณพ่อของ พี่เลียง พ่อของ โจ้ จิง จาม จอย ที่รือเสาะทีจริงมีญาติเยอะ แต่กลัวถ้ากล่าวถึงทกคนจะยาว เอาเท่าที่ หลายคนพอรู้จัก ก็ คุณกลาง สุทธิมาณ ภรรยา พล.ต.อ. สุนทร ซ้ายขวัญ


เอาละครับภาค 1ขอแค่นี้ครับ เดี๋ยวยาว ไป เดี๋ยวภาค 2 จะตามมา คราวนี้ จากรือเสาะไปบ่อยาง

เครดิต: ไชยพร ณ สงขลา

Page 2 of 3

Back to Top